ในปัจจุบันพบว่าคนไทยเป็นโรคอ้วน และโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเช่นโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูงกันมากขึ้น มีสาเหตุหลักจากพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆในการดำเนินชีวิต เช่น รับประทานอาหารหวาน ไขมันสูง ดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ออกกำลังกาย เป็นต้น
ซึ่งนอกจากจะทำให้มีอาการของโรคนั้นๆที่เป็นอยู่แล้วอาจเกิดภาวะไขมันพอกตับร่วมด้วยโดยไม่รู้ตัว
หลายคนอาจสงสัยว่าภาวะไขมันพอกตับคืออะไร อันตรายแค่ไหน วันนี้เราจะมาทำความรู้จักภาวะไขมันพอกตับกันมากขึ้น
ตับมีหน้าที่อะไร
- ตับเป็นอวัยวะทำหน้าที่สำคัญต่อกระบวนการต่างๆในร่างกายหลายอย่างด้วยกัน เปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆคือ
- ทำหน้าเป็นโรงงานผลิต เช่น สร้างน้ำดีไปย่อยไขมันในลำไส้,สร้างโปรตีน แอลบูมิน (albumin) ในเลือด,สร้างไขมันโคเลสเตอรอล (Cholesterol) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการผลิตฮอร์โมนต่างๆ
- ทำหน้าที่เป็นโรงงานแปรรูป ย่อยคาร์โบไฮเดรตเปลี่ยนเป็นน้ำตาลเพื่อเป็นพลังงาน แปรรูปน้ำตาลส่วนเกินการจากใช้งานให้เป็น glycogen, ทำลายสารพิษต่างๆแล้วขับออกจากร่างกาย
- ทำหน้าที่เป็นโกงดังเก็บสินค้า สะสม glycogen เพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงานสำรอง ,สะสมธาตุเหล็ก
ภาวะไขมันพอกตับคืออะไร และมีสาเหตุจากอะไร
เป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถนำพลังงานที่เรารับประทานไปใช้ได้หมด จนทำให้เกิดการสะสมในรูปไขมัน ซึ่งส่วนใหญ่นั้นจะอยู่ในรูปของไตรกลีเซอไรด์ มีสาเหตุมาจาก
- การดื่มแอลกอฮอล์มากๆ
- การรับประทานอาหารมัน อาหารหวาน หรือคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป อาหารเหล่านี้จะไปเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์ในตับ เมื่อร่างกายไม่สามารถนำไปใช้ได้หมด ก็จะเกิดการสะสมขึ้นที่ตับในที่สุด
- มีโรคประจำตัวเช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ไวรัสตับ โรคอ้วน
- ทายยาบางชนิด
ใครบ้างที่เสี่ยงจะเกิดภาวะไขมันพอกตับ
- โรคอ้วน น้ำหนักตัวเกินโดยวัดจากค่า BMI เกิน 24.9
- โรคเบาหวาน หรือค่าน้ำตาลในเลือดมากกว่า 100 mg/dl
- ไขมันไตรกลีเซอไรด์มากกว่า 150 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
- ไขมันชนิดดีหรือ HDL cholesterol ต่ำ
- โรคความดันโลหิตสูง
การตรวจ
เนื่องจากภาวะไขมันพอกตับ เป็นโรคเรื้อรังที่ดำเนินไปอย่างช้าๆ ในระยะแรกจะไม่ค่อยมีอาการที่ชัดเจน ซึ่งอาการที่พบอาจแค่อ่อนเพลีย คลื่นไส้เล็กน้อย รู้สึกตึงบริเวณใต้ชายโครงขวา
แต่ถ้าเป็นมากจนก่อให้เกิดตับอักเสบ โรคตับแข็ง และมะเร็งตับได้ ฉะนั้นการตรวจเพื่อให้รู้ตัวตั้งแต่ยังไม่รุนแรงจะดีกว่า
- การตรวจเลือด หาค่าเอนไซน์ตับ
- การตรวจอัลตราซาวนด์
- การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
- การเจาะชิ้นเนื้อตับมาตรวจ
- การตรวจระดับความแข็งของตับและวัดปริมาณไขมันในตับ
การรักษา
ภาวะไขมันพอกตับในระยะเริ่มแรกสามารถรักษาด้วยวิธีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆเช่น
- ลดน้ำหนัก ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ลดอาหารหวาน อาหารมัน เพิ่มผัก ผลไม้และอาหารที่มีกากใยสูงเช่นธัญพืชชนิดต่างๆ
- ออกกำลังกายอย่างน้อย 3-5 วันต่อสัปดาห์ ครั้งละไม่ต่ำกว่า 30 นาที
- ถ้ามีโรคเบาหวาน หรือไขมันในเลือดสูงให้ควบคุมโรคประจำตัวให้ได้ ตามแพทย์แนะนำ
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
- ตรวจสุขภาพประจำปี
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ตรวจพบภาวะไขมันพอกตับ ขออย่าได้นิ่งนอนใจ ถึงแม้จะไม่มีอาการใดๆ แต่ถ้าปล่อยให้เป็นนานๆอาจส่งผลเสียที่นำไปสู่โรคตับอักเสบ โรคตับแข็งและมะเร็งตับในที่สุด เราเชื่อเหลือเกินว่าถึงแม้การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจะเป็นเรื่องไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินไปเพราะผลที่ได้จะคุ้มค่าและทำให้มีสุขภาพดีขึ้นอย่างแน่นอน