bookmark_borderการทำความสะอาดพื้นที่เมื่อมีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัส โควิด-19 

     ช่วงนี้คงหนีไม่พ้นที่จะพูดถึงการทำความสะอาดบริเวณพื้นที่ที่อยู่อาศัยหากเราพบว่าบ้านเรามีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพราะอย่างที่เราทราบกันดีว่าเชื้อโรคสามารถจะอยู่บนภาชนะสิ่งของหรือบนพื้นได้หลายชั่วโมงดังนั้นหากถ้าเราไม่ทำความสะอาดแล้วแล้วก็คนที่ไม่ติดเชื้อไวรัสแต่มาอยู่ในพื้นที่ที่เคยมีผู้ที่ติดเชื้อไวรัสอยู่อาศัยมาก่อนก็จะทำให้เชื้อโรคสามารถติดต่อมาสู่คนที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงได้งานทำความสะอาดพื้นที่ที่มีผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโคโรน่านั้น

เราสามารถทำความสะอาดได้เฉพาะจุดติดผู้ป่วยติดเชื้ออาศัยอยู่เท่านั้นได้โดยเราไม่จำเป็นต้องฆ่าเชื้อเป็นลักษณะของวงกว้างถ้าบริเวณไหนที่ผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ไม่ได้ไปใช้บริการแถวนั้นหรือไม่เคยเดินผ่านเลยเราก็ไม่จำเป็นต้องไปฉีดยาฆ่าเชื้อก็ได้เพื่อเป็นการประหยัดน้ำยาฆ่าเชื้อเพราะหลักการของการฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อนั้นเราจะฉีดตรงบริเวณที่มีสารคัดหลั่งของผู้ป่วยตกค้างอยู่เรามาดูกันว่าเราสามารถที่จะทำความสะอาดพื้นที่ตรงไหนได้บ้างหากในชุมชนของเรามีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่า

        อันดับแรกเลยก็คือที่อยู่อาศัยของผู้ป่วยที่ติดเชื้อซึ่งถ้าผู้ป่วยติดเชื้ออยู่บ้านหลังไหนวิธีการคือเราต้องมีการปิดกั้นสถานที่นั้นไม่ให้บุคคลอื่นเข้ามาได้หลังจากนั้นก็ทำการเปิดประตูหน้าต่างให้โล่งเพื่อให้มีลมโกรกพัดผ่านอยู่ตลอดเวลาซึ่งวิธีการนี้จะช่วยให้อากาศถ่ายเทได้ดีดังนั้นเชื้อโรคก็จะพัดหายไปในอากาศซึ่งการเปิดหน้าต่างประตูนี้เราควรจะทำทิ้งไว้ประมาณ 1 วันก่อนที่เราจะมีการฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อ  

เมื่อจะต้องมีการฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อนั้นเราควรจะมีการใช้บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถสามารถฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อเป็นมาปฏิบัติงานนี้เพราะจะได้ปลอดภัยจากเชื้อโรคคนที่จะฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อควรจะมีความรู้เกี่ยวกับน้ำยาที่ใช้เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายตัวเองและจำเป็นที่จะต้องฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อเพื่อทำความสะอาดเพื่อนพี่ที่คนติดเชื้อไวรัสโคโรน่าใช้งานอยู่เป็นประจำพื้นที่ที่เราพอจะรู้ว่าผู้ป่วยที่ติดเชื้อเดินผ่านไปจุดไหนหรือใช้งานบริเวณไหนต้องมีการฉีดยาฆ่าเชื้อทั้งหมดยิงห้องไหนที่ผู้ป่วยสัมผัสบ่อยๆ

ยิ่งต้องฉีดให้มากก่อนที่เราจะฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อนั้นทางที่ดีแล้วเราควรมีการทำความสะอาดบริเวณพื้นที่นั้นซะก่อนเพื่อที่เวลาที่เราฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อ   จะได้ส่งผลให้น้ำยามีประสิทธิภาพเข้าไปทำลายเชื้อโรคได้ดียิ่งขึ้นและหากมีสิ่งของไหนที่เรามีความจำเป็นต้องนำกลับมาใช้งานควรจะนำสิ่งของนั้นไปทำความสะอาดโดยการฆ่าเชื้อด้วยน้ำร้อนก่อนรวมถึงใช้ผงซักฟอกหรือน้ำยาฆ่าเชื้อทำความสะอาดตากให้แห้งแล้วถึงสามารถนำมาใช้งานได้ 

         

สนับสนุนเรื่องราวโดย  หวยลาวออกกี่โมง

bookmark_borderอาการท้องเสีย

ท้องเสียนั้นคือเรานั้นถ่ายเป็นน้ำมากกว่าเป็นก้อนหรือว่าในการที่เรานั้นถ่ายอาจจะมีเลือดนั้นออกมาด้วยอันนี้มักจะเกิดจากการติดเชื้อหรือภาวะอาหารเป็นพิษหลังจากที่เรานั้นรับประทานที่มีเชื้อโรคเข้าไป โดยที่อาการนั้นจะเกอดขึ้นเพียงไม่กี่วันแต่ว่าบางคนนั้นอาจจะเป็นโรคเรื้อรังเป็นเวลานาน หรือโรคลำไส้อักเสบเรื้อรังอาการท้องเสียนั้นจะถ่ายมากกว่าสามครั้งแต่ถ้าถ่ายมากและมีมูกเลือดด้วยแล้วควรที่จะไปหาหมอหรือว่าบางรายนั้น

อาจจะมีอาการท้องอืด  คลื่นไส้ อ่อนเพียรเหมือนจะเป็นไข้คันเนื้อคันตัว  อาการท้องเสียนั้นอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่หน้ากลัวแต่แต่สร้างความหนักใจให้กลับคนที่ป่วย เมื่อเรานั้นท้องเสียนั้นจะทำให้เรานั้นเสียน้ำเป็นอย่างมาก

สาเหตุของการท้องเสียโดยปกติดูดซึมสารอาหารในรูปแบบของเหลวจากสิ่งที่เรานั้นรับประทานเข้าไปในร่างกายจนเหลือแต่กากใยทิ้งไว้แต่เมื่อเกิดอาการท้องเสียขึ้นจึงทำให้ลำไส้นั้นมีอาการที่ไม่ปกติสารอาหารเหล่านั้นจึงไม่ถูกดูดซึมและถูกขับออกจากร่างกาย ท้องเสียแบบเฉียบพลันมักจะเกิดจากโรคกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กอักเสบเนื่องจากการติดเชื้อแบคทีเรียเชื้อแบคทีเรียที่มักปนเปื้อนในน้ำหรืออาหารที่เรานั้นกินเข้าไปและก็ก่อให้เกิดอาการท้องเสียตามมา 

อาการท้องเสีย.ในกรณีผู้ป่วยท้องเสียอย่างเฉียบพลันส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องเข้าการรักษาเฉพาะอาการป่วยนั้นจะค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ แต่ว่าผู้ที่ป่วยนั้นต้องกินและดื่มน้ำให้เยอะๆหรือว่ากินเกลือแร่เพื่อที่จะชดเชยน้ำที่เรานั้นเสียไปและผู้ป่วยนั้นต้องกินยาตามที่หมอสั่งควบคู่กับการกินเกลือแร่หรือน้ำให้เยอะๆซึ่งเป็นการรักษาหลัก และนอกจากนี้อาการท้องเสียนั้นเกิดจากความผิดปกติที่ค่อนข้างร้ายแรงอย่างลำไส้อักเสบหรือว่าเรื้อรังซึ่งผู้ป่วยนั้นต้องให้แพทย์ที่เชียวชาญนั้นดูแลความผิดปกติที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้อง ทั้งนี้ผู้ที่ท้องเสียนั้นต้องหมั่นดูแลและสังเกตอาการความผิดปกติของตนเองว่าเรานั้นมีภาวะขาดน้ำหรือเปล่า

ซึ่งจะส่งผลให้กล้ามเนื้อและระบบอื่นๆในร่างกายถือว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่งโดยเฉพาะในเด็ก ผู้สูงอายุหรือว่าผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอเพราะว่าเกิดทำให้เสียหายอย่างรุนแรงและทำให้ร่างกายนั้นเกิดอาการช็อกและหมดสติได้สำหรับผู้ใหญ่นั้นก็ควรเรื่องในการที่หมดสติเพราะว่าอาการขาดน้ำ และการกระหายน้ำอย่างมาก ปัสสาวะน้อยและเป็นมีสีที่เข้ม ผิวแห้ง อ่อนเพลียและเวียนหัวเป็นต้น

ส่วนที่ทารกนั้นจะมีอาการที่พบคือปากนั้นจะแห้ง ร้องไห้ไม่มีน้ำตา ตาลึกโบ๋ และมีไข้สูง นอกจากนี้คือการที่เรานั้นรับประทานอาหารนั้นเมื่อเรานั้นท้องเสียเราต้องกินอาหารที่รสชาติจืดอย่างเช่น ข้าวต้ม  แกงต้มจืด หรือว่าน้ำซุป แต่พอเมื่อเรานั้นเริ่มหายดีแล้วเราควรเริ่มที่กินนม และมีผลิตภัณฑ์ที่มีจุลินทรีย์หรือว่าโยเกิร์ตเพื่อที่ให้ลำไส้ย่อยอาหารได้ดี

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย  แทงหวยฮานอย

bookmark_borderแนวทางพิจารณาอาการ โรคปอดอักเสบเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019

แนวทางพิจารณาอาการ โรคปอดอักเสบเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019

ถ้าเกิดได้รับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 คนป่วยจะเริ่มออกอาการได้ภายใน 24 ชั่วโมง ถึง 2 อาทิตย์ ภายหลังจากได้รับเชื้อ โดยอาการเริ่มต้นของคนป่วยที่ติดเชื้อโรคเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 นั้น โดยมากจะเริ่มจากการจับไข้ ไอ เจ็บคอ เหน็ดเหนื่อย เมื่อยกล้าม หายใจแรงอ่อนล้า ถ่ายเหลวท้องเดิน ถ้าเกิดคนป่วยมีสุขภาพที่ไม่ดีหรือมีภูมิต้านทานต่ำ จะมีผลให้มีความร้ายแรงถึงกับขนาดวิกฤตและก็เสียชีวิตได้

แนวทางคุ้มครองป้องกันโรคปอดอักเสบเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019
พื้นฐานทุกคนสามารถปกป้องตัวเองรวมทั้งคนที่อยู่รอบข้างให้ไกลห่างจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ได้ดังต่อไปนี้

1. หลีกเลี่ยงการสนิทสนมกับคนเจ็บที่มีลักษณะไอ จาม น้ำมูกไหล หอบ เจ็บคอ
2. หลีกเลี่ยงการเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง โดยยิ่งไปกว่านั้นเมืองอู่ฮั่นที่เป็นรังโรค และก็เมืองอื่นๆในประเทศจีนที่มีการระบาด
3. ระวังการสัมผัสผิวที่ไม่สะอาด และก็อาจมีเชื้อโรคเกาะอยู่
4. ควรจะล้างมือให้บ่อยด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลอย่างต่ำ 20 วินาที
5. งดเว้นจับตา จมูก ปากเวลาที่มิได้ล้างมือ
6. หลีกเลี่ยงการสนิทสนม สัมผัสสัตว์ต่างๆ โดยที่ไม่มีการปกป้องคุ้มครอง
7. กินอาหารสุก สะอาด ใช้ช้อนกลาง ไม่กินอาหารที่ทำมาจากสัตว์หายาก

สำหรับเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์หรือคนที่จำเป็นต้องดูแลคนป่วยที่ติดเชื้อโรคเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 โดยตรง ควรจะใส่หน้ากากอนามัย หรือสวมแว่นตานิรภัย เพื่อคุ้มครองป้องกันเชื้อในละอองฝอยจากเสลดหรือสารคัดเลือกหลั่งเข้าตา

ท้ายที่สุดขอฝากไว้ว่า อย่าตระหนกจนกระทั่งเกินความจำเป็นแล้วก็อย่าลืมติดตามข้อมูลโดยตลอดจากแหล่งเชื่อใจได้ ควรจะวิเคราะห์ข้อมูลให้เด่นชัดก่อนที่จะเชื่อในทันทีทันใด

bookmark_borderรู้เบื้องต้น ภาวะเส้นเอ็นไหล่ฉีก

ปัญหาสำคัญของภาวะเส้นเอ็นไหล่ฉีก พบได้มากในหมู่ทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานหนัก หรือหักโหมออกกำลังกาย ซึ่งอาการก่อนมาพบแพทย์คือไม่สามารถขยับไหล่ได้ ในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่ามีผู้ป่วยมาพบแพทย์ด้วยปัญหาภาวะเส้นเอ็นในไหล่ประมาณ 2,000,000 คนต่อปี เมื่อมีเส้นเอ็นไหล่ฉีกขาดจะทำให้มีภาะวะอ่อนแรงลงของข้อไหล่ ทำให้การดำเนินชีวิตในแต่ละวันเป็นไปด้วยความลำบาก ไม่สะดวกอย่างที่เคย เช่น การหวีผม การใส่เสื้อ ก็จะมีอาการเจ็บหรือจะทำได้ยากขึ้น
เรียนรู้กายวิภาคศาสตร์เรื่องข้อไหล่

ร่างกายสร้างขึ้นโดยการยึดติดอวัยวะต่างๆ ขึ้นมา โดยข้อไหล่ประกอบขึ้นจากกระดูก 3 ส่วนคือ กระดูกท่อนแขนด้านบน(humerus) กระดูกสะบัก(scapular)และกระดูกไหปลาร้า(clavicle)
ข้อไหล่ (ห้วกระดูกและเบ้า) จะอยู่ด้วยกันได้ด้วยตัวเยื่อหุ้มข้อ (capsule) และเส้นเอ็นไหล่ (rotator cuff) ตัวเส้นเอ็น rotator cuffประกอบขึ้นจากกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น 4 มัดมาประกอบกันเป็นแผงโอบหุ้มข้อไหล่ทำหน้าที่ให่ความมั่นคงกับข้อไหล่และเป็นแกนหมุนและยกหัวไหล่ นอกจากนี้ยังมีถุง(bursa)ซึ่งให้ความหล่อลื่นและป้องกันการเสียดสีของเส้นเอ็นrotator cuffกับกระดูกส่วนบนของไหล่(acromion) เมื่อมีการอักเสบของเส้นเอ็นหรือมีการฉีกขาดของเส้นเอ็น rotator cuff ตัวถุง (bursa) นี้ก็จะมีภาวะอักเสบและมีอาการเจ็บเกิดขึ้นด้วย

ในกรณีที่เกิดภาวะเส้นเอ็นไหล่ฉีกขาด คงหนีไม่พ้นบริเวณตำแหน่งเส้นเอ็นเกาะกับกระดูกส่วนหัว (humerus) ซึ่งอาจฉีกเส้นเดียวหรือหลายเส้นก็ได้ การฉีกขาดอาจเริ่มจากการถลอกบริเวณด้านบนของเส้นเอ็น (ซึ่งเกิดจากการเสียดสีของหินปูนบริเวณกระดูกด้านบน (acromion) กับตัวเส้นเอ็น) หรืออาจกิดจากภาวะเสื่อม (degeneration) ของตัวเส้นเอ็นเองหรือเกิดจากการใช้งานหรืออุบัติเหตุ ด้วยเหตุทั้งหมดที่กล่าวมข้างต้นนี้ทำให้เกิดภาวะเส้นเอ็น ที่เรียกว่า rotator cuff เกิดฉีกขาดขึ้น ในระยะแรกอาจไม่ได้เกิดการฉีกขาดทั้งหมดเลยทีเดียวอาจจะแค่ฉีกบางส่วนแล้วค่อยๆ ลุกลามเป็นมากขึ้นจนฉีกขาดตลอดความหนาของเส้นเอ็น เราจึงนิยมแบ่งเป็นชนิดต่างๆ คือ
แบ่งตามลักษณะของการฉีกขาด
1. เส้นเอ็นฉีกขาดบางส่วน (partial rotator cuff tear)
2. เส้นเอ็นฉีกขาดตลอกความหนา (full thickness rotator cuff tear)
3. เส้นเอ็นฉีกขาดขนาดใหญ่ (massive rotator cuff tear) ซึ่งมักจะมีการหดรั้งของตัวกล้ามเนื้อและปลายเส้นเอ็นที่ฉีกขาดไปไกลจากตำแหน่งเกาะเดิม

bookmark_borderป่วยแน่ ถ้าทำงานหนักจนละเลยสุขภาพตัวเอง

ในยุคปัจจุบันนี้ ด้วยเศรษฐกิจ สังคม หรืออะไรก็ตาม ทำให้เราต้องทำงานกันอย่างหนักมากขึ้น จนแทบไม่มีเวลาที่จะดูแลตัวเองกลายเป็นละเลยสุขภาพของตนเองไปด้วย ด้วยการใช้ชีวิตแบบเร่งรีบอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหนัก จนทำให้พักผ่อนน้อย หรือกินอาหารสำเร็จรูปที่ไม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ด้วยพฤติกรรมต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้ ก็คงพอที่จะเป็นเหตุผลให้ร่างกายของคุณเริ่มอ่อนแอลง ไม่แข็งแรงเหมือนเดิม ป่วยง่ายขึ้น แล้วถ้าหนักขึ้นละก็อาจจะทำให้คุณป่วยเป็น 12 โรคต่อไปนี้

1. ออฟฟิศซินโดรม
โรคที่ 90% ของพนักงานออฟฟิศจะต้องเป็น ด้วยเพราะเกิดจากพฤติกรรมของคนออฟฟิศส่วนใหญ่จะทำงานโดยการนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ โดยไม่ได้ลุกเคลื่อนตัว ขยับตัวเปลี่ยนท่าทางบ้าง ทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการตึง และเกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบได้

2. เป็นหวัด คัดจมูก
แม้ว่าการเป็นหวัด เจ็บคอ น้ำมูกไหล คัดจมูก หายใจไม่ออก อาการเหล่านี้อาจเรียกตามภาษาเราๆ ว่าโรครำคาญได้เลย เพราะเป็นอาการที่เป็นได้ง่ายๆ เป็นได้บ่อยๆ และเป็นอาการป่วยทั่วไปที่ไม่ได้ร้ายแรงอะไรนัก แต่ก็ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของคุณ เนื่องด้วยการสร้างความรำคาญให้คุณได้ และหากยิ่งโหมทำงานหนัก รวมถึงพักผ่อนไม่เพียงพอ จนทำให้ร่างกายเหนื่อยล้า และภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงได้

3. ปวดไมเกรน
หรืออาการปวดหัวข้างเดียว แม้ว่าสาเหตุของ ไมเกรน จะไม่ชัดเจนนัก แต่สาเหตุที่กระตุ้นให้เกิดอาการไมเกรนกำเริบขึ้น นั้นดันมีอยู่รอบๆ ตัว ซึ่งได้แก่ ความเครียดที่สะสมมา ความกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้น ความตื่นเต้นตื่นตระหนก ความเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย พักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีที่มีมาจากการโหม ทำงานหนัก ทั้งสิ้น

4. โรคอ้วน
การนั่งทำงานนาน ๆ ติดต่อกันวันละหลาย ๆ ชั่วโมง ทำให้ร่างกายเราไม่สามารถเผาผลาญอาหารได้อย่างที่เคยเป็น และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คุณอ้วนขึ้นได้อย่างง่าย ๆ รวมถึงมีปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และหลอดเลือด

5. สายตาเสีย
การทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นานเกินไป โดยอาจลืมตัวเพ่งสายตานานจนลืมกระพริบตา สามารถทำให้เกิดโรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรมได้ ซึ่งโรคนี้จะทำให้ดวงตามีปัญหาเรื่องการมองเห็น โดยเริ่มจาก ตาแห้ง ปวดหัว คอ และไหล่ และอาจทำให้เห็นภาพเบลอ หากทิ้งไว้นาน ๆ จะทำให้ดวงตาเสื่อมสภาพเร็วกว่าวัยอันควร

6. โรคความดันโลหิตสูง
สาเหตุแท้จริงของโรคความดันโลหิตสูง ในคนทำงานมักเกิดมาจากความเครียดที่สะสมไว้ เนื่องจากพนักงานออฟฟิศ ต้องเผชิญกับความกดดันบ่อยๆ ความน่ากลัวของภาวะความดันโลหิตสูงก็คือ จะไม่มีอาการแสดงอะไรเลยในระยะแรก แต่จะทำลายอวัยวะภายในของคุณอย่างช้า ๆ จนทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์ อัมพาต และไตวาย ซึ่งเป็นโรคเรื้อรังที่สร้างความเจ็บปวดในระยะยาว และสามารถถึงแก่ชีวิตได้ทั้งสิ้น

7. โรคหัวใจ
โรคหัวใจ เป็นผลที่เกิดขึ้นจากการเกิดขึ้นของภาวะความดันโลหิตสูงเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในผลพลอยได้ของโรคเลยก็ว่าได้ เมื่อคุณต้อง ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย ทานแต่อาหารที่มีไขมันสูง ไม่มีเวลาออกกำลังกาย แต่ต้องเผชิญกับความเครียดอยู่เสมอ จะส่งผลให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้หัวใจของคุณต้องทำงานอย่างหนักตลอดเวลา และอาจเป็นโรคหัวใจได้ในที่สุด

8. โรคเบาหวาน
หลายคนชอบทานของหวานเมื่อรู้สึกเครียดหรือเหนื่อย เพราะทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นขึ้น แต่การที่เราทานอาหารที่มีรสหวานมากๆ จะทำให้นำตาลในเลือดของเราสูงขึ้น จนทำให้หัวใจและร่างกายทำงานหนักขึ้น และกลายเป็นภาวะดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลิน ที่มาควบคุมน้ำตาล ความน่ากลัวของโรคนี้ อยู่ที่อาการของโรคจะลามไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น เบาหวานขึ้นตา และเมื่อร่างกายเกิดบาดแผล ก็ทำให้หยุดเลือดได้จาก และแผลหายช้า

9. กรดไหลย้อน
อีกหนึ่งโรคที่คนวัยทำงานสวนใหญ่ต้องเป็น เพราะเกิดจากการทำงานหนักรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา ทานอาหารอย่างเร่งรีบ รวมไปถึงการชอบทานเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด ของมัน ของทอด หรือน้ำอัดลม ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรคกรดไหลย้อนได้

10. โรคเครียดลงกระเพาะ
โรคเครียดลงกระเพาะ มักเกิดจากความเครียด เพราะเมื่อเราเครียด ระบบประสาทอัตโนมัติ ก็จะกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งน้ำย่อยออกมามากกว่าปกติ จนทำให้เกิดการระคายเคือง และส่งผลให้คุณเป็น โรคกระเพาะอาหาร ในที่สุด

11. โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
หลายครั้งที่คุณเกิดปวดปัสสาวะ แต่ก็ไม่ยอมลุกไปเข้าห้องน้ำสักที เนื่องจากกำลังทำงานติดพันอยู่ รวมถึงการดื่มน้ำน้อย หรือเลือกดื่มกาแฟแทนน้ำเปล่า พฤติกรรมเหล่านี้หากทำจนติดเป็นนิสัย ก็สามารถทำให้เกิดโรคร้ายได้

12. โรคตึกเป็นพิษ
โรคจากสภาพแวดล้อมภายในออฟฟิศไม่เหมาะสมต่อการทำงานของพนักงาน อากาศที่ไม่ถ่ายเท หรือถ่ายเทไม่สะดวก ทำให้สารพิษเกิดขึ้นอยู่ในตัวอาคารไม่สามารถระบายออกไปได้ อาการของโรคตึกเป็นพิษ ได้แก่ อ่อนล้า ปวดหัว เวียนหัว คลื่นไส้ คัดจมูก ไอ จาม เกิดผดผื่นคัน ระคายเคืองดวงตา และเกิดความผิดปกติของประสาทรับกลิ่น หากละเลยเอาไว้นาน ๆ อาการก็จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น

bookmark_borderโรคอันตรายจากการนอนไม่พอ

ด้วยงาน ด้วยการบ้าน ด้วยสอบ และด้วยอีกสารพัดเหตุผล ที่ทำให้คุณนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ บางคนแทบไม่ได้นอนหลับ เช้ามาก็ไปทำงานต่อได้อีก ช่วงแรกๆ คงแค่รู้สึกง่วง เหนื่อย แล้วไปนอนทดเวลาแทนเอาวันถัดไป แต่จริงๆ แล้วการนอนทดเวลาไม่ได้ช่วยให้ร่างกายหายเหนื่อย แถมหากยังนอนน้อยอยู่บ่อยๆ ยังเสี่ยงโรคอันตรายอีกหลายโรคเลยด้วย

นอนไม่พออันตรายแค่ไหน โรคอันตรายจากการนอนไม่พอ

1. ระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย ทำงานผิดปกติ

เรื่องนี้ค่อนข้างกว้าง เราจึงไม่สามารถระบุได้โรคเดียว แต่ถ้าให้อธิบาย คือการนอนหลับไม่เพียงพอ ร่างกายฟื้นฟู ซ่อมแซม ปรับระบบการทำงานได้ไม่ดีพอ ทำให้ระบบย่อยอาหารในกระเพาะอาหารทำงานผิดปกติ ยิ่งใครอยู่ดึกแล้วทานอาหารตอนดึกๆ ด้วยแล้ว การทานอาหารไม่เป็นเวลาก็ทำร้านสุขภาพกระเพาะอาหาร และระบบย่อยอาหารอื่นๆ ได้เหมือนกัน

เมื่อระบบย่อยอาหารรวน ก็จะทำให้มีอาการ อาหารไม่ย่อย ท้องอืด ท้องเฟ้อ บางรายมีแก๊สในกระเพาะอาหารเยอะเกินไป อาจมีอาการปวดท้องแบบจุกเสียดได้เช่นกัน นอกจากนี้ผลร้ายยังส่งต่อมาที่ระบบขับถ่าย ที่จะทำให้ขับถ่ายไม่เป็นเวลา ท้องผูก หรือบางครั้งก็ท้องเสียได้

2. โรคอ้วน

นอกจากการทานอาหารตอนดึกๆ ที่หลายคนทานเพราะหิวในช่วงเวลาปั่นงาน อ่านหนังสือ หรือดูซีรี่ส์ตอนดึกๆ แล้ว การนอนหลับไม่เพียงพอยังส่งผลให้ระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกายรวนไปด้วย เลยกลายเป็นว่าทานเท่าเดิม แต่เผาผลาญได้น้อยกว่าเดิม พลังงานสะสมจนทำให้น้ำหนักเกินมาตรฐาน กลายเป็นโรคอ้วนได้ เรียกง่ายๆ ว่าทานนิดเดียวก็อ้วนนั่นเอง ใครที่เคยสงสัยว่าทานเหมือนเพื่อน แต่ทำไมอ้วนอยู่คนเดียว ลองสังเกตตัวเองดูว่านอนหลับไม่เพียงพอหรือเปล่า

3. โรคเบาหวาน

การนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ เสี่ยงต่อโรคเบาหวานได้เช่นกัน (โดยเฉพาะคนที่มีความเสี่ยง เช่น มีคนในครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน ก็ยิ่งเสี่ยงหนัก) เพราะหากเรานอนไม่เพียงพอ ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด และอินซูลิน ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อภาวะดื้ออินซูลินอีกด้วย ใครที่ยังไม่เป็นให้ระวัง ใครที่เป็นโรคเบาหวานอยู่แล้ว ยิ่งต้องระวัง เพราะส่งผลกระทบต่อการรักษาอย่างมาก

4. โรคนอนไม่หลับ

แน่นอนว่าเมื่อเราไม่ได้ทานข้าวให้เป็นเวลา เราก็เป็นโรคกระเพาะอาหาร หากเรานอนไม่เป็นเวลา เราก็เสี่ยงเป็นโรคนอนไม่หลับเช่นเดียวกัน แทนที่ถึงเวลานอน เราควรจะง่วง กลับไม่ง่วง และกว่าจะหลับได้ในแต่ละคืนช่างยากเย็น บางคนอาจลุกเข้าห้องน้ำบ่อยครั้ง ทำให้นอนหลับๆ ตื่นๆ นอกจากร่างกายจะเหนื่อยล้าสะสมจากการนอนไม่เพียงพอแล้ว ยังอาจเกิดความเครียดสะสม จนทำให้ยิ่งนอนไม่หลับเข้าไปกันใหญ่

5. โรคหลอดเลือดหัวใจ

โรคเริ่มอันตรายและร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ การที่เรานอนหลับไม่เพียงพอ อาจส่งผลให้มีสารโปรตีนเข้ามาเกาะสะสมที่หัวใจมากขึ้น จนทำให้เกิดอาการเส้นเลือดอุดตันได้ แถมยังมีโอกาสที่ความดันโลหิตจะพุ่งสูงขึ้น จนเสี่ยงโรคอื่นๆ ตามมาอีกเพียบ ทั้งเส้นเลือดในสมองตีบ หรือแตก ที่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็ว

6. โรคมะเร็งลำไส้

สุดท้ายเป็นโรคที่ใครหลายคนไม่อยากเป็น นั่นคือมะเร็ง และโดยเฉพาะวัยรุ่น วัยหนุ่มสาว วัยทำงานที่ใช้ชีวิตคนเมือง ยิ่งมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้มากขึ้นทุกวัน เพราะมักจะทานอาหารไม่ตรงเวลา ละเลยมื้อเช้า ทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ หรือมีคุณค่าทางสารอาหารไม่เพียงพอ ขาดการออกกำลังกาย แถมยังนอนหลับไม่เพียงพออีกต่างหาก ส่งผลให้ระบบการทำงานจองลำไส้ผิดปกติ จนอาจกลายเป็นลำไส้อุดตัน และลุกลามจนกลายเป็นมะเร็งในที่สุด

ใครที่รู้ตัวว่านอนน้อย ควรบริหารเวลาให้ดี ส่วนใครที่มีปัญหานอนไม่หลับ ลองออกกำลังกายเป็นประจำ งดดื่มชา กาแฟ น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนก่อนนอน งดใช้คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน หันมาหยิบหนังสืออ่านแทน และพยายามนอนให้ตรงเวลาทุกๆ วัน จะช่วยปรับเวลานอนของตัวเองให้เป็นปกติได้ค่ะ

bookmark_borderมะเร็งปากมดลูกศัตรูตัวร้ายของผู้หญิง

หากสาวใดมีอายุย่างเข้า 30 ปีแล้วนั้น คงจะมีอารมณ์ของความหวิว ๆ เข้ามาปนและอาจรู้สึกได้ว่าอายุจนป่านนี้แล้วถึงเวลาสักทีที่ฉันจะสละ…ทุกอย่างให้กับความรักอย่าให้ความใกล้ชิดบดบังความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงเราเพราะนอกจากจะมีปัญหายุ่งยากแล้วมันอาจทำให้คุณสูญเสียหลายอย่างในชีวิตได้อย่างไม่คาดฝัน

มะเร็งปากมดลูกคร่าชีวิตผู้หญิงไทยถึง 7 คนต่อวันและจากสถิติพบว่าหญิงไทยป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูก เฉลี่ยปีละ 6,000 ราย ความร้ายกาจของโรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า เอชพีวี (Human Papilloma Virus; HPV) ซึ่งสามารถติดต่อได้จากการมีเพศสัมพันธ์แต่สิ่งที่ทำให้โรคนี้น่ากลัวที่สุด ก็คือคุณจะไม่รู้ตัวเลยว่าคุณได้รับเชื้อ HPV เข้าไปในบริเวณปากมดลูกเรียบร้อยแล้ว เพราะในบางรายเชื้อ HPV จะใช้เวลาถึง 10 ปีในการก่อตัวเป็นมะเร็ง

นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงอื่นๆที่ส่งผลให้คุณผู้หญิงที่ไม่ว่าจะเป็นสาวน้อยหรือสาวใหญ่มีโอกาสเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกได้ ลองมาดูเช็คลิสต์นี้ดูสิคะว่า สาเหตุใดบ้างที่ทำให้คุณอาจจะเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูก

  • มีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุน้อย
  • มีคู่นอนหลายคนหรือมีเพศสัมพันธ์กับชายที่มีคู่นอนหลายคน
  • รับประทานยาคุมกำเนิดติดต่อกันเป็นเวลานาน (ถ้านานกว่า 5 ปี จะมีความเสี่ยงสูง)
  • มีจำนวนการตั้งครรภ์และการคลอดลูกมากกว่า 4 ครั้ง
  • มีประวัติการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น ซิฟิลิส หนองใน เริม เป็นต้น
  • สูบบุหรี่
  • ขาดการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
  • ขาดสารอาหารบางชนิด โดยฉพาะผู้หญิงที่รับประทานผักและผลไม้น้อย มีโอกาสเป็นมะเร็งชนิดพบบ่อย รวมทั้งมะเร็งปากมดลูกสูงกว่าคนที่รับประทานผักและผลไม้มาก

หากคุณมีปัจจัยบางอย่างหรือหลายอย่างดังที่กล่าวมา และ ไม่มั่นใจว่า ณ เวลานี้ คุณมีเชื้อไวรัสที่ก่อโรคมะเร็งปากมดลูกหรือไม่ เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสร้ายชนิดนี้ วันนี้ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ มีแนวทางการดูแลตัวเองที่ทุกคนสามารถทำได้ มาฝากเป็นเกร็ดความรู้ดังต่อไปนี้ค่ะ

  • กลุ่มอายุ 9-26 ปีที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ สามารถป้องกันตนเองจากการติดเชื้อไวรัส HPV และเพื่อป้องกันไม่ให้เซลล์ปากมดลูกเกิดความผิดปกติ จนในที่สุดเปลี่ยนเป็นเซลล์มะเร็ง ได้โดยโดยการฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (สามารถฉีดวัคซีนได้ทุกโรงพยาบาลค่ะ)
  • กลุ่มอายุน้อยกว่า 30 ปี ควรเริ่มการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก หลังจากมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกภายใน 3 ปีหรือเริ่มตรวจเมื่ออายุครบ 21 ปี และควรทำการตรวจคัดกรองเป็นประจำทุกปีจนถึงอายุ 30 ปี
  • กลุ่มอายุมากกว่า 30 ปี ควรตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธีการต่อไปนี้
  • การตรวจทางเซลล์วิทยา (Pap Test) เพียงอย่างเดียว ถ้าได้รับผลการตรวจคัดกรองทุกปีเป็นปกติติดต่อกัน 3 ปี หรือมากกว่าสามารถเว้นระยะการตรวจคัดกรอง เป็นทุกๆ 2-3 ปีได้
  • การตรวจทางเซลล์วิทยา (Pap Test) ร่วมกับการตรวจหาเซลล์ผิดปกติตรวจหาไวรัสเอชพีวี (HPV DNA Test) ถ้าผลการตรวจคัดกรองปกติทั้งสองอย่างสามารถรับการตรวจทุกๆ 3 ปีได้ แต่หากพบความผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งจำเป็นต้องได้รับการตรวจเพิ่มเติมตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
  • ลิควิ-เพร็พ เป็นเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งเป็นการปรับปรุงในการทำ PAP Smear จากวิธีการเดิมในการตรวจคัดกรองหาเซลล์มะเร็งปากมดลูก
    การส่องกล้องตรวจความผิดปกติของปากมดลูกเรียกว่า โคลโปสโคปี้ (colposcopy) เมื่อมีผลตรวจแปปสเมียร์ผิดปกติ

แม้ว่าการรักษาในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็น

  • การตัดปากมดลูกด้วยห่วงไฟฟ้า
  • การจี้ปากมดลูกด้วยความเย็น
  • การจี้ด้วยเลเซอร์
  • การตัดปากมดลูกออกเป็นรูปกรวยด้วยมีด
  • จะสามารถรักษาให้หายขาดได้หากมะเร็งอยู่ในระยะก่อนลุกลาม แต่หากเมื่อมะเร็งได้ลุกลามแล้ว คุณจำเป็นต้องตัดมดลูกหรือทำการฉายแสง หรือเคมีบำบัด ซึ่งเป็นวิธีการรักษาที่ทราบกันดีถึงความทรมานของผลกระทบ
  • ข้างเคียง อย่ามัวแต่อาย หรือกลัวเจ็บกันอยู่เลย

การระมัดระวังและรู้ทันโรคจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยรักษาชีวิตของคุณให้อยู่ยืนยาวขึ้นและมีความสุขกับคนที่คุณรักตราบนานเท่านาน

bookmark_borderเคล็ดลับ 6 ขั้นตอนในการเลิกเหล้า

ถ้าคุณดื่มมากกว่าที่กำหนด และอยากจะลดปริมาณการดื่มลงให้อยู่ในปริมาณที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตราย บันได 6 ขั้นต่อไปนี้ จะช่วยคุณได้

ขั้นที่ 1 หาเหตุผลที่จะดื่มให้น้อยลง

พิจารณาดูว่า ถ้าคุณดื่มให้น้อยลงแล้วจะเกิดผลดีอะไรขึ้นกับคุณบ้าง เช่น

– คุณจะประหยัดเงินได้มากและนำเงินก้อนนี้มาใช้ซื้อหาสิ่งที่คุณต้องการ

– คุณจะแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม

– คุณจะได้ไม่เสี่ยงต่อโรคร้ายแรงต่าง ๆ เช่น โรคตับแข็ง โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ความจำเสื่อม เป็นต้น

– บุตรหลานจะได้ไม่เป็นนักดื่มเหมือนคุณ เป็นต้น

ขั้นที่ 2 วางเป้าหมายการดื่ม

หลังจากที่หาเหตุผลดี ๆ เพื่อจะดื่มให้น้อยลงได้แล้ว ให้คุณกำหนดว่าคุณจะเริ่มต้นเมื่อใด จะดื่มวันละกี่ดื่ม จะไม่ดื่มในวันใดบ้าง

และแต่ละสัปดาห์จะดื่มทั้งหมดกี่ดื่ม

เมื่อกำหนดเป้าหมายได้แล้ว ให้คุณจดบันทึกการดื่มของคุณติดต่อกัน 4สัปดาห์เพื่อดูว่าคุณสามารถควบคุมการดื่มให้เป็นไปตามที่ตั้งใจไว้ได้หรือไม่

ขั้นที่ 3 ทำความรู้จักกับสถานการณ์เสี่ยง

หลังจากลองจดบันทึกการดื่มสัก 1-2 สัปดาห์แล้ว คุณจะเริ่มเห็นว่า ในบางสถานการณ์จะเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับคุณที่จะควบคุมการดื่ม

ให้อยู่ในกำหนดที่ตั้งไว้

คุณควรบอกให้ได้ว่า สถานการณ์เหล่านั้นมีอะไรบ้าง เช่น

– หลังเลิกงาน

– เมื่อเงินเดือนออก

– เมื่อเกิดความรู้สึกโกรธ เหงา หรือเศร้า เป็นต้น

ขั้นที่ 4 จัดการกับสถานการณ์เสี่ยง

เมื่อคุณรู้ดีแล้วว่าอะไรเป็นสถานการณ์เสี่ยงที่ทำให้คุณควบคุมการดื่มของตนเองไม่ได้ ก็ถึงเวลาที่จะต้องหาทางจัดการกับสถานการณ์เหล่านั้นให้ได้

ตัวอย่างวิธีการจัดการกับสถานการณ์เสี่ยง ได้แก่

– หากิจกรรมทำหลังเลิกงาน เช่น ไปออกกำลังกาย เล่นกีฬา หรือทำงานอดิเรก เป็นต้น

– ไม่เก็บเงินมากๆ ไว้กับตัว

– หลีกเลี่ยงที่จะพบหน้าเพื่อนที่ดื่มจัด

– หาวิธีฉลองแบบใหม่ๆ เช่น ไปทำบุญ พาครอบครัวไปรับประทานอาหารนอกบ้าน เป็นต้น

– ทำตัวให้ยุ่งอยู่เสมอ จะได้ไม่คิดถึงการดื่ม

– เปลี่ยนไปดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ต่ำกว่าเดิม

– ผสมเครื่องดื่มให้เจือจางด้วยโซดา หรือน้ำแข็ง

– ฝึกการปฏิเสธเมื่อถูกชวนให้ดื่ม เช่น บอกว่า “หมอสั่งไม่ให้ดื่มมาก” เป็นต้น

ขั้นที่ 5 หาที่พึ่ง

การจัดการกับสถานการณ์เสี่ยงจะง่ายขึ้นถ้าคุณมีใครสักคนเป็นที่พึ่ง เช่น สามีหรือภรรยา แฟน หรือเพื่อนที่กำลังคิดจะดื่มให้น้อยลงเหมือนคุณ

เป็นต้น

คนที่จะเป็นที่พึ่งให้คุณได้ดี ควรเป็นคนที่คุณไว้ใจ เป็นคนที่คุณเข้าถึงได้ง่าย มีความจริงใจกับคุณ สามารถเป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำแก่คุณได้

และพร้อมเสมอที่จะช่วยเหลือเมื่อคุณต้องการ

ถ้าคุณกำลังมีปัญหาสุขภาพที่เกิดจากการดื่ม แพทย์ พยาบาล หรือผู้ให้บริการปรึกษา จะเป็นที่พึ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ

อย่าอาย ที่จะไปขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพเหล่านี้ เพราะจะช่วยคุณได้อย่างแน่นอน

ขั้นที่ 6 ยึดเป้าหมายไว้ไห้ได้

ขอให้คุณพยายามจดบันทึกการดื่มของคุณต่อไปเรื่อยๆ เพื่อคอยตรวจสอบว่าคุณสามารถดื่มให้น้อยกว่าเดิมได้หรือยัง

ถ้าคุณมีความตั้งใจจริง คุณจะต้องทำได้อย่างแน่นอน และตัวเลขจากการบันทึกจะบอกคุณได้เองว่าการดื่มของคุณได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแล้ว

แม้การเปลี่ยนแปลงจะยังไม่มากอย่างที่คุณตั้งใจไว้ แต่ก็นับว่าคุณได้ก้าวหน้าไปมากแล้ว ถ้านับจากช่วงเวลาก่อนที่คุณจะตั้งใจที่จะดื่มให้น้อยลง

คุณควรหากิจกรรมต่าง ๆ ทำให้เพลิดเพลินอยู่เสมอ จะได้ไม่คิดถึงเรื่องดื่ม และการได้พูดคุยปรึกษาหารือกับ “ที่พึ่ง” ของคุณบ่อย ๆ

จะช่วยให้คุณมีกำลังใจ และมีมานะพยายามที่จะเอาชนะสถานการณ์เสี่ยงของคุณมากขึ้นด้วย

ทำอย่างไร ถ้ายังดื่มให้น้อยลงไม่ได้?

ถ้าคุณพบว่า คุณยังดื่มมากกว่าที่ตั้งใจไว้ ก็อย่าเพิ่งท้อแท้ หรือคิดว่าคุณล้มเหลว แต่ให้คุณพยายามคิดหาเหตุผลว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

และจะหาทางแก้ไขอย่างไร จึงจะได้ผลโดยอาจปรึกษา “ที่พึ่ง” ของคุณก็ได้

นอกจากนี้อย่าไปให้ความสำคัญกับวันที่คุณดื่มมากเกินไป แต่จงจดจำวันที่คุณสามารถดื่มให้น้อยลงได้สำเร็จ

เพราะมันจะช่วยให้คุณมีกำลังใจมากขึ้น

จงพยายามต่อไป ทีละวัน ทีละวัน เท่านั้นก็พอ แล้วทุกอย่างจะค่อยๆ ง่ายขึ้นเอง

มาเลิกดื่มเหล้ากันเถอะ

เพราะเราเข้าใจว่าการเลิกดื่มทำได้ยาก แต่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจเราเชื่อว่าคุณทำได้ ด้วยกระบวนการอดเหล้าอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ปลอดภัย

ด้วยมาตรฐานการดูแลบำบัดโดยผู้เชี่ยวชาญ ตลอดจนกำลังใจจากคนรอบข้างและครอบครัว คุณจะสามารถควบคุมการดื่มได้มากขึ้น สุขภาพดีขึ้น

และสามารถเลิกเหล้าได้ในที่สุด

bookmark_borderภาวะไขมันพอกตับ รู้ทัน แก้ไขทัน

ในปัจจุบันพบว่าคนไทยเป็นโรคอ้วน และโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเช่นโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูงกันมากขึ้น มีสาเหตุหลักจากพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆในการดำเนินชีวิต เช่น รับประทานอาหารหวาน ไขมันสูง ดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ออกกำลังกาย เป็นต้น

ซึ่งนอกจากจะทำให้มีอาการของโรคนั้นๆที่เป็นอยู่แล้วอาจเกิดภาวะไขมันพอกตับร่วมด้วยโดยไม่รู้ตัว

หลายคนอาจสงสัยว่าภาวะไขมันพอกตับคืออะไร อันตรายแค่ไหน วันนี้เราจะมาทำความรู้จักภาวะไขมันพอกตับกันมากขึ้น

ตับมีหน้าที่อะไร

  • ตับเป็นอวัยวะทำหน้าที่สำคัญต่อกระบวนการต่างๆในร่างกายหลายอย่างด้วยกัน เปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆคือ
  • ทำหน้าเป็นโรงงานผลิต เช่น สร้างน้ำดีไปย่อยไขมันในลำไส้,สร้างโปรตีน แอลบูมิน (albumin) ในเลือด,สร้างไขมันโคเลสเตอรอล (Cholesterol) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการผลิตฮอร์โมนต่างๆ
  • ทำหน้าที่เป็นโรงงานแปรรูป ย่อยคาร์โบไฮเดรตเปลี่ยนเป็นน้ำตาลเพื่อเป็นพลังงาน แปรรูปน้ำตาลส่วนเกินการจากใช้งานให้เป็น glycogen, ทำลายสารพิษต่างๆแล้วขับออกจากร่างกาย
  • ทำหน้าที่เป็นโกงดังเก็บสินค้า สะสม glycogen เพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงานสำรอง ,สะสมธาตุเหล็ก

ภาวะไขมันพอกตับคืออะไร และมีสาเหตุจากอะไร

เป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถนำพลังงานที่เรารับประทานไปใช้ได้หมด จนทำให้เกิดการสะสมในรูปไขมัน ซึ่งส่วนใหญ่นั้นจะอยู่ในรูปของไตรกลีเซอไรด์ มีสาเหตุมาจาก

  • การดื่มแอลกอฮอล์มากๆ
  • การรับประทานอาหารมัน อาหารหวาน หรือคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป อาหารเหล่านี้จะไปเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์ในตับ เมื่อร่างกายไม่สามารถนำไปใช้ได้หมด ก็จะเกิดการสะสมขึ้นที่ตับในที่สุด
  • มีโรคประจำตัวเช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ไวรัสตับ โรคอ้วน
  • ทายยาบางชนิด

ใครบ้างที่เสี่ยงจะเกิดภาวะไขมันพอกตับ

  • โรคอ้วน น้ำหนักตัวเกินโดยวัดจากค่า BMI เกิน 24.9
  • โรคเบาหวาน หรือค่าน้ำตาลในเลือดมากกว่า 100 mg/dl
  • ไขมันไตรกลีเซอไรด์มากกว่า 150 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
  • ไขมันชนิดดีหรือ HDL cholesterol ต่ำ
  • โรคความดันโลหิตสูง

การตรวจ

เนื่องจากภาวะไขมันพอกตับ เป็นโรคเรื้อรังที่ดำเนินไปอย่างช้าๆ ในระยะแรกจะไม่ค่อยมีอาการที่ชัดเจน ซึ่งอาการที่พบอาจแค่อ่อนเพลีย คลื่นไส้เล็กน้อย รู้สึกตึงบริเวณใต้ชายโครงขวา

แต่ถ้าเป็นมากจนก่อให้เกิดตับอักเสบ โรคตับแข็ง และมะเร็งตับได้ ฉะนั้นการตรวจเพื่อให้รู้ตัวตั้งแต่ยังไม่รุนแรงจะดีกว่า

  • การตรวจเลือด หาค่าเอนไซน์ตับ
  • การตรวจอัลตราซาวนด์
  • การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
  • การเจาะชิ้นเนื้อตับมาตรวจ
  • การตรวจระดับความแข็งของตับและวัดปริมาณไขมันในตับ

การรักษา

ภาวะไขมันพอกตับในระยะเริ่มแรกสามารถรักษาด้วยวิธีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆเช่น

  • ลดน้ำหนัก ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ลดอาหารหวาน อาหารมัน เพิ่มผัก ผลไม้และอาหารที่มีกากใยสูงเช่นธัญพืชชนิดต่างๆ
  • ออกกำลังกายอย่างน้อย 3-5 วันต่อสัปดาห์ ครั้งละไม่ต่ำกว่า 30 นาที
  • ถ้ามีโรคเบาหวาน หรือไขมันในเลือดสูงให้ควบคุมโรคประจำตัวให้ได้ ตามแพทย์แนะนำ
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
  • ตรวจสุขภาพประจำปี

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ตรวจพบภาวะไขมันพอกตับ ขออย่าได้นิ่งนอนใจ ถึงแม้จะไม่มีอาการใดๆ แต่ถ้าปล่อยให้เป็นนานๆอาจส่งผลเสียที่นำไปสู่โรคตับอักเสบ โรคตับแข็งและมะเร็งตับในที่สุด เราเชื่อเหลือเกินว่าถึงแม้การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจะเป็นเรื่องไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินไปเพราะผลที่ได้จะคุ้มค่าและทำให้มีสุขภาพดีขึ้นอย่างแน่นอน

bookmark_borderสัญญาณเตือน บ่งบอกความเสี่ยงเป็น “นิ่วในถุงน้ำดี”

รู้จัก “นิ่วในถุงน้ำดีอักเสบ”
โดยทั่วไปแล้วนิ่วในถุงน้ำดีจะอยู่ในที่ของมันอย่างนั้น แต่หากก้อนนิ่วหลุดไปอุดตันท่อน้ำดีจะส่งผลให้น้ำดีไหลออกจากถุงน้ำดีเข้าสู่ลำไส้ไม่ได้ ทำให้ความดันในถุงน้ำดีสูงขึ้น ส่งผลต่อการกดเบียดหลอดเลือดต่างๆ ที่หล่อเลี้ยงถุงน้ำดี ถุงน้ำดีจึงขาดเลือด เนื้อเยื่อถุงน้ำดีจึงเกิดการบาดเจ็บ และเกิดการอักเสบขึ้น แต่นอกจากนี้แล้วนิ่วในถุงน้ำดีอักเสบอาจเกิดได้จากสาเหตุอื่นๆ เช่น เกิดจากถุงน้ำดีได้รับอุบัติเหตุ เกิดการฉีกขาด หรือ ถุงน้ำดีติดเชื้อแบคทีเรีย เกิดพังผืด เป็นต้น

อาการเหล่านี้เสี่ยง “นิ่วในถุงน้ำดีอักเสบ” เฉียบพลัน

  • เจ็บ ปวดลึกๆ บริเวณใต้ชายโครงขวา อาจร่วมกับกดเจ็บบริเวณตำแหน่งของถุงน้ำดีทันที โดยเฉพาะเวลาหายใจเข้า อาจร้าวไปไหล่ขวา
  • รู้สึกมีไข้ เป็นไข้ต่ำ มักมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย แต่บางคนอาจมีไข้สูง
  • รู้คลื่นไส้ อาเจียน แน่นท้อง
  • หากเป็นมากอาจตาเหลือง ตัวเหลือง อุจจาระสีซีด และปัสสาวะสีเหลืองเข็ม
  • หากถุงน้ำดีแตกจะมีไข้สูง หน้าท้องแข็ง เจ็บทุกส่วนของช่องท้องได้
  • นอกจากนี้แล้วนิ่วในถุงน้ำดีอักเสบอาจเป็นอาการเรื้อรังได้ อาการจะไม่รุนแรง แต่จะเกิดการอักเสบซ้ำบ่อยๆ โดยอาการที่พบมักเจ็บบริเวณใต้ชายโครงขวา แต่เจ็บไม่มาก เมื่อกินอาหารที่มีไขมันมากๆ จะมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ

นิ่วถุงน้ำดีอักเสบ…รักษาได้
ในเบื้องต้นแพทย์จะทำการวินิจฉัยและทำการรักษา โดยให้ยาแก้ปวด ยาบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน และให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำเพื่อให้ถุงน้ำดีหยุดพักการทำงาน หากไม่ทำการผ่าตัดจะทำให้การอักเสบย้อนกลับเป็นซ้ำอีก ซึ่งการผ่าตัด อาจเป็นการผ่าตัดผ่านกล้อง หรือโดยการผ่าหน้าท้อง ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์และผู้ป่วย
เมื่อมีอาการที่คล้ายคลึงอาการดังกล่าว ควรรีบพบแพทย์ ไม่ควรปล่อยไว้ แล้ววินิจฉัยอาการเอง เพรานั่นอาจนำไปสู่ผลข้างเคียง หรือทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้